แพลน เที่ยวญี่ปุ่น 10 วัน

แพลน เที่ยวญี่ปุ่น 10 วัน เนื่องจากบทความนี้จะพูดถึงการท่องเที่ยวญี่ปุ่นใน 10 วัน ที่มีการวางแผนเตรียมการเป็นอย่างดีหรือดีที่สุดเท่าที่จะทำได้(วางแผนดีไม่ได้แปลว่าต้องจ่ายแพงนะตัวเธอ) ดังนั้นเราจะพยายามไม่กล่าวถึงวิถีการเดินทางแบบขาลุยในสไตล์ Backpackerที่บางครั้งอาจออกนอกลู่นอกทาง (ในแง่การผจญภัย) ไปบ้างนั่นเอง ทั้งนี้ทั้งนั้นเนื้อหาทั้งหมดในบทความเป็นเพียงไกด์ไลน์เท่านั้นผู้เดินทางสามารถดัดแปลงให้ยืดหยุ่นเหมาะสมกับความสะดวกทั้งกายและใจของแต่ละคนได้นะจ๊ะ

แพลน เที่ยวญี่ปุ่น 10 วัน จดลิสพร้อมเก็บกระเป๋าได้เลย

แพลน เที่ยวญี่ปุ่น 10 วัน – DAY 1: เดินทางถึงโตเกียว!

YOKOSO! ยินดีต้อนรับสู่ญี่ปุ่น! วันแรกของการก้าวเท้าย่ำกรุงโตเกียว
ขอให้วันนี้เป็นวันแห่งการฟื้นฟูร่างกายหลังจากการเดินทางอันยาวนานจนหลังขดหลังแข็งบนเครื่องบินอยู่หลายชั่วโมง
หลังจากแช่น้ำอุ่นในอ่างแล้วนอนพักจนเรี่ยวแรงกลับมา คุณอาจจะลองเดินสำรวจเมือง เช็คดูสถานที่ต่างๆทั้ง ร้านอาหาร
ร้านสะดวกซื้อ สถานีรถไฟ-รถโดยสาร หรือตลาดในละแวกที่พักให้รู้สึกคุ้นเคย
ค่ำๆก็เดินหรือนั่งรถไฟไปสถานีใกล้ๆหาอะไรอร่อยๆกินกัน แบบเน้นความสะดวกสบายและใกล้ที่พักเป็นหลัก
ก่อนที่วันพรุ่งนี้จะลุยเที่ยวกันแบบเต็มสตรีม จุดไฮไลท์: วันพักผ่อนเบาๆ
ก่อนเข้าสู่โหมดผจญภัยในวันพรุ่งนี้ การเดินทาง: ขึ้นอยู่กับที่พักที่จองไว้

DAY 2: เช็คอิน Asakusa แล้วอย่าลืมแวะไปเช็คอินอดีตแลนด์มาร์คอย่าง Tokyo Tower ด้วย

วันแรกของการตะลอนทัวร์! เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา เรามุ่งหน้าไปยังแลนด์มาร์คอีกแห่งหนึ่งของโตเกียวในย่าน Asakusa
โดยนั่งรถไฟไปลงที่สถานี Asakusa ย่านท่องเที่ยวยอดนิยมที่ยังคงรักษาบรรยากาศแบบดั้งเดิมของโตเกียวไว้ได้อย่างดี
ซึ่งนอกจากวัดเซ็นโซจิและตึกสกายทรีแล้ว ย่านนี้ยังมีร้านรวงมากมายให้ได้แวะช้อปชิมกันอย่างเพลิดเพลิน
ทั้งร้านค้างานฝีมือ แผงสตรีทฟู้ด ไปจนถึงร้านขายอิซากายะ และร้านอาหารอร่อยๆริมน้ำมากมาย
พักทานข้าวทานน้ำกันหน่อยแล้วค่อยนั่งรถไฟไปลงสถานี Nippori เดินทอดน่องลุยเมืองเก่า Yanaka และ Nezu
ที่เหมือนพาคุณย้อนกลับไปในยุคเอโดะแต่ยังมีความร่วมสมัย หรือคุณจะหอบท้องว่างๆมาหาร้านนั่งกินข้าวในย่านนี้ก็ได้
รับรองว่าได้บรรยากาศที่ยอดเยี่ยมแน่นอน ก่อนที่ตกเย็นจะนั่งรถไฟไปลงสถานี Akabanebashi จากนั้นเดินต่อประมาณ 5 นาที
เพื่อไปเช็คอินและชมวิวของอ่าวโตเกียวจากมุมสูง ณ แลนด์มาร์คอันดับหนึ่งตลอดกาลอย่าง Tokyo Tower ดินเนอร์คืนนี้
คุณอาจจะหาร้านปิ้งย่างหรือร้านอาหารญี่ปุ่นนั่งทานสวยๆใกล้ๆ Tokyo Tower หรือนั่งรถไฟกลับมาแถว Asakusa ก็ได้
หรือถ้าไม่อะไรมากมาย คุณอาจจะลงเอยกับของกินอร่อยๆจากร้านสะดวกซื้อใกล้ที่พัก
ที่รับรองว่าจะยังไงกฌไม่ใช่อาหารสิ้นคิดอย่างแน่นอน จุดไฮไลท์: วัดเซ็นโซจิ และ
โตเกียว สกาย ทรี การเดินทาง: นั่งรถไฟสาย Yamanote ไปลงสถานี Ueno จากนั้นขึ้นรถ
Tokyo Metro Ginza Line ไปลงที่ Asakusa

DAY 3: ปลดปล่อยความเป็นแฟชั่นนิสต้าที่ย่าน Ginza, Shibuya และ Harajuku

ขอให้วันนี้เป็นวันที่อากาศเย็นสบายกำลังดี ไม่มีฝน ไม่มีฝุ่น เพราะนี่คือวันที่เราจะมาปลดปล่อยความเป็นแฟชั่นนิสต้า
ตะลุยย่านแห่งสตรีทอาร์ทและแฟชั่นหลากสีสันประจำกรุงโตเกียว! เริ่มต้นด้วยการนั่งรถไฟไปลงที่สถานี Shibuya หรือ
Meiji-Jingu (Harajuku) ก่อนอื่นเราไปถ่ายรูปเช็คอินกับรูปปั้นน้อง “ฮาจิโกะ” ผู้ซื่อสัตย์กันหน่อยนะ
ไม่งั้นใครเค้าจะหาว่ามาไม่ถึง! แล้วมุ่งหน้าเดินลงไปแจมความวุ่นวายกลางห้าแยกชิบูย่า (Shibuya Crossing)
จากนั้นไปตะลอนช้อปปิ้งบนถนนสายแฟชั่นลากยาวกันทั้งวันแบบไม่ต้องสนใจใคร เริ่มเหนื่อยลองนั่งรถไฟไปหาของกินที่ตลาดปลา
Tsukishijo ที่รับรองว่าคุณจะได้ลิ้มรสชาติปลาดิบเนื้อสดๆหวานๆแบบฉบับของญี่ปุ่นแท้ๆที่ไม่ซ้ำใคร
จากนั้นกลับไปสัมผัสโลกแห่งแฟชั่นกันต่อที่ย่าน Ginza ที่มีร้าน Uniqlo Ginza
ชื่อดังที่นักท่องเที่ยวชาวไทยมักจะแวะช้อปเสื้อผ้าที่หาไม่ได้ในสาขาประเทศไทย จริงๆแล้ว
หลายที่ในย่านนี้ค่อนข้างมีชื่อเสียงและเหมาะเป็นแบ็คกราวน์ถ่ายรูปได้แบบไม่จำเจเลยทีเดียว เช่น
ประตูทางเข้าที่มีไฟสีแดงที่คาบูกิโจ และ หัวก๊อดซิลล่าบริเวณโรงแรม Gracery ที่โผล่มาเหมือนในหนัง
…แต่ยังไงซะที่เด็ดสุดก็คงไม่พ้นห้าแยกชิบูย่าอยู่ดี
โดยเฉพาะในตอนค่ำๆที่ภาพผู้คนนับพันกับแสงไฟทั้งไฟจราจรและสีสันจากตึกโดยรอบ ยิ่งทำให้เป็นความวุ่นวายที่งดงาม
ก่อนนั่งรถไฟกลับที่พัก ห้ามพลาดแวะไปชิมอาหารกลางบรรยากาศของญี่ปุ่นดั้งเดิมที่ “ตรอกโอโมอิเดะ โยโกโฉะ” หรือ “Memory
Lane” ตรอกเล็กๆแต่มีเสน่ห์เป็นเอกลักษณ์ ซึ่งร้านส่วนใหญ่ในตรอกนี้เป็นร้านดื่มกินและอาหารแบบอิซากายะ
ประดับด้วยโคมไฟเล็กๆ ซึ่งแต่ละร้านมีที่นั่งไม่เกิน 10 ที่ ให้ความรู้สึกอบอุ่นและดั้งเดิมสมกับชื่อตรอกแห่งความทรงจำ
จุดไฮไลท์: ถนนสายแฟชั่นและสตรีทอาร์ท ความวุ่นวายที่งดงามที่ Shibuya Crossing
การเดินทาง: นั่งรถไฟสาย Yamanote, Ginza, Hanzomon และ Fukutoshin ไปลงที่สถานี
Shibuya, Shinjuku, Harajuku และ Tsukushijo

DAY 4: เที่ยวแบบเช้าไป-เย็นกลับ ที่ Nikko หรือ Kamakura

หลังจากตะลอนโตเกียวกันแบบจัดหนักมา 3 วันเต็มๆแล้ว วันนี้เราจะออกไปเที่ยวนอกเมืองแบบเช้าไปเย็นกลับ
ซึ่งเรามีออปชั่นที่น่าสนใจให้เลือกอยู่ 2 แห่ง คือ; • Option 1: Nikko “นิกโก้”
เมืองท่องเที่ยวชื่อดังของจังหวัดโทชิกิ (Tochigi) ใช้เวลาเดินทางจากโตเกียวไม่เกิน 2 ชั่วโมงครึ่ง
มีแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจมากมาย เช่น ศาลเจ้าโทโชกู (Nikko Toshogu Shrine), ศาลเจ้าฟุตาระซัง (Nikko
Futarasan-jinja) ซึ่งเป็นมรดกโลก และทะเลสาบชูเซ็นจิ (Lake Chuzenji)
ซึ่งเป็นจุดชมใบไม้เปลี่ยนสีที่มีชื่อเสียงอย่างมาก ฯลฯ ในเรื่องอาหารการกิน ที่นิกโก้ก็มีอาหารประจำถิ่นชวนลิ้มลอง เช่น
ฟองเต้าหู้ ผลิตโดยโรงงานของนิกโก้ยูบะ หรือจะเป็นนทสดจากฟาร์มโอซาสะ (Ozasa Farm) เป็นต้น นอกจากนั้น นิกโก้
ยังมีชื่อเสียงอย่างมากในเรื่องของบ่อออนเซ็นและที่พักแบบเรียวกัง แต่ในทริปนี้เราไม่ได้พักค้างคืนที่นี่ ดังนั้น
การแวะมาแช่บ่อน้ำพุร้อนจึงเป็นออปชั่นหลัก ซึ่งบ่อน้ำพุร้อนชื่อดังก็มีอยู่หลายแห่ง ที่โดดเด่นที่สุด ได้แก่ Nikko
Yumoto Onzen ออนเซ็นอันเงียบสงบรายล้อมด้วยธรรมชาติอุดมสมบูรณ์ มีสรรพคุณช่วยบำรุงผิวพรรณให้สวยงาม เป็นต้น
การเดินทาง: นั่งรถไฟ Tobu Nikko Line Limited Express Kegon จากสถานี Asakusa
ในโตเกียว ไปถึงนิกโก้โดยตรงที่สถานี Tobu Nikko ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมง 50 นาที ค่าโดยสารประมาณ 2,700 เยน

DAY 5: สัมผัสธรรมชาติที่ Hakone ชมวิวฟูจิซัง

“ฮาโกเน่” ตั้งอยู่ห่างจากรุงโตเกียวเพียง 70 กิโลเมตร
เป็นหนึ่งในเมืองที่เต็มไปด้วยแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติอันอุดมสมบูรณ์มากมาย
โดยจุดหมายในการท่องเที่ยวฮาโกเน่ที่มีชื่อเสียง ได้แก่ Yunessun Onzen, Venetian Glass Museum, ล่องเรือโจรสลัด Hakone
Sightseeing Cruise, ขึ้นกระเช้าชิมไข่ดำบนยอดภูเขาไฟด้วย Hakone Ropeway, เที่ยวพิพิธภัณฑ์กลางแจ้ง The Hakone Open-Air
Museum, และช้อปปิ้งกระจายที่ Gotemba Premium Outlet นอกจากนั้น
ที่ฮาโกเน่ยังมอบวิวภูเขาไฟฟูจิแสนสวยให้นักท่องเที่ยวได้ชื่นชม ซึ่งการท่องเที่ยวจากโตเกียวและฮาโกเน่นั้น
สามารถทำได้ทั้งแบบเช้าไปเย็นกลับ หรือหากว่าคุณหลงใหลในธรรมชาติที่เมืองหลวงแทบไม่มีให้
จนอยากจะแอบอิงธรรมชาติด้วยการพักค้างคืนที่นี่ก็ทำได้เช่นกัน การเดินทาง: นั่งรถไฟ
Odakyu Line จากสถานี Shinjuku มาลงที่สถานี Odawara ใช้เวลาประมาณ 100 นาที จากนั้นเปลี่ยนไปนั่งรถไฟ Tozan Line
ใช้เวลาประมาณ 20 นาที ไปลงสถานี Hakone-Yumoto เป็นอันถึงที่หมาย

DAY 6: มุ่งหน้าสู่คันไซ เช็คอินที่ Shinsaibashi

หลังจากที่วนเวียนอยู่ที่โตเกียวและปริมณฑลอยู่หลายวัน
และแล้วก็ได้เวลาที่เราจะเดินทางให้ไกลขึ้นเพื่อไปเยือนภูมิภาคคันไซ
หัวเมืองใหญ่ที่เป็นหมุดหมายหลักสำคัญอีกแห่งที่ได้รับความนิยมไม่แพ้โตเกียวเลยก็ว่าได้ ซึ่งในบทความนี้
เราจะเดินทางจากโตเกียวตรงไปยังโอซาก้า เมืองหลวงของคันไซ ซึ่งทำได้หลายรูปแบบไม่ว่าจะเป็น รถไฟความเร็วสูง รถบัสโดยสาร
หรือเครื่องบิน โดยในบทความนี้ขออนุญาตแนะนำให้ใช้รถไฟความเร็วสูง หรือ ชินคันเซ็น
ที่แม้ราคาอาจจะสูงหน่อยแต่เป็นหนึ่งเรื่องความสะดวกรวดเร็ว ซึ่งนอกจากจะช่วยประหยัดเวลา
ยังช่วยลดความหงุดหงิดและเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางอีกด้วย ที่โอซาก้ามีแหล่งท่องเที่ยวชื่อดังมากมาย
โดยหลังจากเก็บของไว้ในห้องพักที่จองเอาไว้ เวลาที่เหลือของวัน คุณก็สามารถไปเยี่ยมชมความงามของปราสาทโอซาก้า
จากนั้นแวะช้อปปิ้งที่ Tenjimbashi Suji Shopping Street ที่การันตีของดีราคาถูก และพอตกเย็นอย่าลืมนั่งรถไฟไปลงที่สถานี
Namba แวะไปถ่ายรูปกับป้าย Glico ที่ย่าน Dotonburi และ Shinsaibashi ถนนคนเดินชื่อดังที่เต็มไปด้วยร้านอาหาร ร้านค้า
บาร์ และอื่นๆอีกมากมาย ให้คุณได้ตื่นตาตื่นใจและสร้างความเพลิดเพลินให้กับคุณในยามค่ำคืน
การเดินทาง: นั่งรถไฟชินคันเซ็นสาย Tokaido จากสถานีโตเกียว ไปลงที่สถานี Shin-Osaka

DAY 7: เดินลัดเลาะสำรวจเมืองเก่าที่เกียวโต

เมืองหลวงเก่าของประเทศญี่ปุ่นที่มีชื่อเสียงทั่วโลกในเรื่องวัดวาอารามและศาลเจ้า
เป็นศูนย์กลางการปกครองและแหล่งวัฒนธรรมอันรุ่งเรืองมานานนับศตวรรษ
เป็นเมืองเก่าที่เพียงแค่คุณก้าวเท้าเข้ามาไม่นานก็สัมผัสได้ถึงบรรยากาศของแดนซามูไรยุคดั้งเดิมได้อย่างไม่รู้ตัว
วันนี้เราจะย้ายจากโอซาก้ามาปักหลักที่เกียวโต
จากนั้นจะใช้เวลาทั้งวันเพื่อเดินทอดน่องลัดเลาะสำรวจเมืองเก่าที่มีมนต์ขลังแห่งนี้โดยไม่สนใจเข็มนาฬิกา
ไม่ต้องรีบเร่งตัวเอง ไม่ต้องตั้งเป้าว่าต้องไปให้ครบทุกที่ ปล่อยใจให้สบายแล้วออกเดินไปด้วยกัน ไปได้แค่ไหนก็เอาแค่นั้น
เพราะสิ่งสำคัญคือความสุนทรีย์ที่เกิดขึ้นในใจของเรา ทั้งจากภาพที่ได้เห็นเมื่อมาถึงปราสาทนิโจและวัดคิโยมิสึ (วัดน้ำใส)
ที่จับใจคนทั้งโลกจนได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกอย่างเป็นทางการมาแล้ว
หรือเพิ่มความตื่นตาตื่นใจด้วยการแวะชมวังทองที่คินคาคุจิ
แล้วเยี่ยมเสาโทริอิสีแดงนับพันที่เรียงรายตามขั้นบันไดที่ศาลเจ้าฟูชิมิอินาริ คุณอาจจะได้พบกับ “ไมโกะ” และ “เกอิชา”
ศิลปินนักร่ายรำสาวสวยในชุดกิโมโนแขนยาวเดินอยู่ในย่านกิออน
ระหว่างที่คุณกำลังเดินกลับมาสำรวจตัวเมืองที่มีกลิ่นอายของศตวรรษที่ 19 และลองแวะชมผ้าทอพื้นเมืองสีสันสดใส
“นิชิจิน-โอริ” ที่นิชิจิน เหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า ก็อย่าลืมแวะชิมอาหารอร่อยๆที่มีขายอยู่ทั่วเมือง
ทั้งอาหารชุดญี่ปุ่นที่เสิร์ฟเมนูตามฤดูกาล ราเม็งเส้นเหนียวนุ่ม ลูกเกาลัดคั่ว ทาโกะยากิรสแซ่บ และอื่นๆอีกมากมาย
การเดินทาง: จากโอซาก้า นั่งรถไฟชินคันเซ็น สาย Tokaido มาลงที่สถานีเกียวโต
ใช้เวลาประมาณ 28 นาที

DAY 8: สูดอากาศบริสุทธิ์ที่ Arashiyama

“อาราชิยามะ” หนึ่งในย่านท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่มีชื่อเสียงมากที่สุด ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของเกียวโต
ยังคงมีความอุดมสมบูรณ์ของป่าไม้และแม่น้ำสูงมาก เป็นหนึ่งในจุดชมวิวใบไม้เปลี่ยนสีที่ดีที่สุดในญี่ปุ่น
มีแหล่งท่องเที่ยวมากมายและแต่ละที่ซึ่งอยู่ห่างกันหลายร้อยเมตรมักต้องใช้วิธีเดินไป (ปั่นจักรยานได้ถ้าคนไม่เยอะ)
การท่องเที่ยวที่อาราชิยามะ จะเริ่มจากนั่งรถไฟมาลงที่สถานี JR Saga-Arashiyama เพื่อเดินชมป่าไผ่อันโด่งดัง
จากนั้นเข้าวัดเทนริวจิเพื่อสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์
แล้วเดินเลียบริมแม่น้ำมุ่งหน้าไปที่สะพานโทเง็ตสึเคียวเพื่อชมวิวและถ่ายรูปเป็นที่ระลึก
หากคุณเดินทางมาเที่ยวในช่วงดอกซากุระบานหรือฤดูใบไม้ร่วงที่ใบไม้กำลังเปลี่ยนสี ห้ามพลาดการนั่งรถไฟสายโรแมนติก Saga
Scenic Railway เพื่อชมความงดงามของหมู่มวลพฤกษาที่แข่งกันสร้างสีสันตระการตาดึงดูดผู้คนมากมาย
การเดินทาง: จากเกียวโต นั่งรถไฟมาลงที่สถานี JR Saga-Arashiyama

DAY 9: ย้อนคืนโตเกียว เที่ยววัดเที่ยวสวนให้อิ่มใจ

เข้าสู่ช่วงท้ายของวันเวลาแห่งความสุขแล้วสินะ วันนี้เราจะเดินทางกลับจากเมืองเก่าเกียวโต
มุ่งหน้าหวนคืนสู่เมืองหลวงในปัจจุบันอย่างโตเกียว โดยในวันนี้เรามี 2 ออปชั่นให้เพื่อนๆได้เลือก คือ
1.เที่ยววัดเที่ยวสวน หรือ 2. เที่ยวดิสนีย์แลนด์; • Option 1: เที่ยววัดเที่ยวสวนให้อิ่มใจ
หลังจากที่วันแรกๆเราเดิน (และนั่งรถไฟ) เที่ยวแหล่งแฟชั่นและสตรีทอาร์ทกันจนเหนื่อยอ่อน จนลืมไปว่าที่โตเกียวเอง
แม้จะเป็นเมืองแห่งเทคโนโลยีที่ทันสมัย แต่ยังมีร่องรอยแห่งอารยธรรมที่เชื่อมโยงกับธรรมชาติและศาสนาอยู่มากมาย
วันนี้เราจะมาเที่ยววัดเที่ยวสวนเพื่อเก็บเกี่ยวความสงบที่ชวนอิ่มเอมใจ โดยจะเริ่มจากนั่งรถไฟไปลงที่สถานี Meiji-Jingu
หรือ Harajuku เพื่อเข้าไปสักการะขอพรที่ศาลเจ้าเมจิจิงงู ซึ่งมีประตูโทริอิขนาดใหญ่เป็นไฮไลท์สำคัญ
จากนั้นอาจจะเดินไปอีกหน่อยเพื่อพักผ่อนหย่อนใจในสวนโยโยงิ (Yoyogi Park) จากนั้นเดินมานั่งรถไฟไปลงสถานีโตเกียว ทางออก
Marunouchi Central เพื่อแวะเที่ยวที่พระราชวังโตเกียวอิมพีเรียล ซึ่งมีประวัติศาสตร์ยาวนานมาตั้งแต่สมัยเอโดะ
ที่พระราชวังจะมีจุดถ่ายรูปตรงสะพาน Nijubashi และสะพาน Meganebashi (สะพานแว่นตา) และจากนั้นเราจะนั่งรถไฟไปลงที่สถานี
Ueno เพื่อเดินเที่ยวแบบชิลๆที่สถานที่สุดท้ายของวันเบาๆที่สวนอุเอะโนะ (Ueno Park)
สวนสาธารณะขนาดใหญ่และเก่าแก่ที่สุดในโตเกียว

DAY 10: แวะช้อปปิ้งวันสุดท้าย ก่อนบ๊ายบาย Japan

และแล้ววันนี้ก็มาถึง ทำไมช่วงเวลาแห่งความสุขถึงผ่านไปรวดเร็วจังเลยนะ ในวันสุดท้ายของการใช้ชีวิตในญี่ปุ่น
คุณอาจจะไม่ต้องทำอะไรมาก นอกจากเดินเล่นชิลๆแล้วแวะถ่ายรูปตามคาเฟ่หรือร้านอาหาร
หรืออาจจะแอบแว่บไปช้อปปิ้งหาเสื้อผ้าหรือของฝากตามห้างสรรพสินค้าหรือย่านช้อปปิ้ง เช่น ชินจูกุ หรือ ฮาราจูกุ
อีกรอบแบบสั้นๆก็ได้ สิ่งสำคัญคือห้ามช้อปจนเพลินเกินโควต้า ห้ามหลงทาง และต้องกะเวลาให้พอดี
เพราะวันนี้คุณต้องเตรียมตัวออกเดินทางกลับเมืองไทยแล้วนะ และแล้วในที่สุดก็ถึงเวลากล่าวคำว่า Sayonara บ๊ายบายนะจ๊ะ
Japan แล้วเราจะกลับมาหาเธออีกแน่นอน จุ๊บๆ

บทความแนะนำ

เที่ยวญี่ปุ่น เมืองไหนดี

เที่ยวญี่ปุ่น 3 วัน 2 คืน